การแพ้สีเจล หรือ เครื่องสำอางใด ๆ ล้วนเกิดจากการแทรกแซงโครงสร้าง
ใช้วัตถุดิบสังเคาะห์ที่มีคุณภาพต่ำจนถึงสารพิษที่เป็นอันตราย เมื่อถูกดูดซึมเข้าไปสะสมในร่างกาย เป็นจำนวนมาก
วัตถุดิบหลักในการทำสีเจลนั้นคือสารโพลิเมอร์ ซึ่งมาจากธรรมชาติ (ยางสน-เรซิน) และ สารสังเคราะห์ขึ้นจากโรงงานอุตสาหกรรม (ฟอมาดีไฮล์ ฯ)
โดยหลักแล้วโพลิเมอร์จากธรรมชาตินั้นจะมีโครงสร้างกลไกที่สอดคล้องกับระบบชีวภาพของมนุย์ เพราะเป็นสารอินทรีย์เหมือนกัน วิวัฒนาการมาร่วมกัน ( อยู่ร่วมกันได้ )
แต่ด้วยระบบการตลาดของอุตสาหกรรม ที่เน้นความถูกของต้นทุนการผลิตและรวดเร็วในการจัดทำสินค้า การใช้สารสังเคราะห์ที่ราคาถูกกว่า อย่างฟอมาดีไฮล์จึงเกิดขึ้นฟอร์มาลดีไฮด์จึงเกิดขึ้น (ฟอมาดีไฮล์ส่วนหนึ่งมาจากอุตสาหกรรมสีพลาสติก สีทาบ้าน ฯ รุ่นเก่าที่ปนเปื้อน และ ห้ามนำเข้าในหลายประเทศที่ต้องนำไปกำจัด )
การทำงานโพลิเมอร์จากฟอร์มาลดีไฮด์นั้นโครงสร้างการทำงานของโมเลกุลคล้ายโพลิเมอร์จากยางสน ( จึงใช้แทนกันได้ + เรามีฟอร์มาลดีไฮด์ในเลือดระดับนึง จึงไม่เกิดการต่อต้านตั้งแต่แรก )
ต่างกันตรงที่ โครงสร้างหลัง Polymerization ( เร่งปฏิกริยาจากแสงแดด ) ไม่สมบูร์และไม่มีเสถียรภาพเท่า กับยางสนธรรมชาติ ( เสื่อมสลายแตกตัวง่าย การยึดเกาะต่ำ ไม่ดูดซับความชื้น ไม่สามารถความคุมเชื้อรา แบคทีเรียต่าง ๆ )
ทำให้จำเป็นต้องใส่สารเคมีที่อันตราย ( ไม่ใช่สารอินทรีย์ ไม่เหมาะกับผิวร่างกายมนุษย์ ) เพิ่มเข้ามา เช่น ไดเอทิลพทาเลท โทลูอีน ( กาวเคมีพลาสติก อุตสาหกรรมหนัก อื่น ๆ ) มากมาย
ผลคือ ทำสามารถทำงานได้ไม่ต่างจากเรซินธรรมชาติ แต่ทำให้เกิดการพิษสะสมในร่างกายเกิดขึ้นตามมา ( ใช้แรก ๆ ไม่เป็นไร นานวันเข้าอาการออก ( ระบบร่างกายขับออกไมไหว ระบบภูมิคุ้มกันจึงเลือกที่จะใช้การทำลายแทน ซึ่งผลของการทำลายโครงสร้างด้วยเม็ดเลือดขาว จึงออกมาในรูปของการแพ้ ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะผิว หรือ ระบบต่อม ประสาทภายใน )
ซึ่งจะออกเป็นรูปแบบที่ชัดเจน ตุ่มใส แตก คัน ลอก ลุกลามไปส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ได้สัมผัสและเกี่ยวข้องกับเนื้อเจล ซึ่งเกิดจากสารพิษเข้าสะสมเข้าสู่กระแสเลือด ที่ไหลเวียนไปสู่ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
รูปแบบการดูดซึมสารพิษนั้น เกิดได้หลากหลายช่องทาง แม้จะเป็นการสูดดม การสัมผัส ซึ่งเมื่อทาแล้ว จะไม่สามารถล้างด้วยอะสิโตนปรกติ (ละลายสารอินทรีย์ตามธรรมชาติ) จำเป็นต้องล้างด้วยสูตรที่แรงกว่าปรกติ เพราะโครงสร้างของมันแตกต่าง หนาแน่นกว่าเจลที่ได้จากธรรมชาติทั่วไป ส่งผลให้ ผิวเราถูกทำลายอย่างรุนแรง และ เนื้อเจลที่มีพิษเคมีละลายซึมเข้าสู่ผิว เข้าสู่ร่างกาย จำนวนมากไปพร้อม ๆ กัน
ยังไม่รวมการขูด เจีย ที่รุนแรงจนสภาพเล็บบางเสียอาจและอักเสบ จนไม่สามารถหยุดทาได้ นำไปสู่อาการเล็บแอ่น และ บาง ผิดรูปถาวร เมื่อทาครั้งต่อ ๆ ไป ก็จำเป็นต้องตะไบ เพื่อให้เกิดล่องพยาบมากพอที่เจลจะแทรกตัวเข้าไป
ยังไม่รวมถึงปัญหาด้านเชื้อรา เชื้อจุลชีพอื่น ๆ ที่อาจสะสมอยู่ด้านล่างของเล็บ ที่โพลิเมอร์จากฟอมาดีไฮล์ไม่มีคุณสมบัติในการจัดการ ( เรซินธรรมชาติมีคุณสมบัติดูดซับความชื้น และ มีความเป็นกรดอ่อน ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นการกำจัด และ ควบคุม การแบ่งตัวของจุลชีพและเชื้อราไปในตัว
ในทางการแก้ปัญหา จึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นธรรมชาติ มีคุณภาพ เชื่อถือได้ และ เป็นสำคัญ
การบำบัด กรณีพิษเคมีสะสมนั้น ค่อนข้างละเอียดอ่อน แต่สามารถทำได้ โดยการหยุดพัก รักษาอาการทั้งหมด
เลิกใช้สัมผัสสินค้าที่ทำให้เกิดปัญหา ( หากไม่ทราบให้เก็บแยกใส่กล่องปิดให้มิดชิด หรือทิ้งไปเพราะเมื่อร่างกายสร้างสารต้านมาแล้ว ยังไงก็ไม่สามารถกลับไปใช้สารเคมีที่เกิดปัญหาได้อีก
เลือกใช้สินค้าที่ดีมีคุณภาพ โดยเริ่มจากเพียงเล็กน้อยก่อน เช่น การทา 1 เล็บ ต่อวัน
อาการเบื้องต้นที่ยังสามารถพบได้หลักมีปัญหาภูมิแพ้คือ อาจมีอาการคันเล็กน้อย ( ต่ำกว่าเคมีตัวเก่าหลายเท่า ) เพราะร่างกายนั้นมีสารภูมิแพ้ใด ๆ มาแล้ว มักทำลายสิ่งที่มีโครงสร้างคล้ายกันไปด้วย และ อาจเกิดขึ้นได้หากผิวเรายังบางหรือมีปัญหามาก่อน
แต่หากมันรับรู้แล้วว่าไม่ใช่สารตัวเดียวกัน มันจะเลิกต่อต้าน และ สามารถกลับมาใช้ หรือ ทาเล็บได้อีก