กลไกการทำงานของสีเจล
Resin - Polymer ทำปฏิกริยาต่อแสง
Polymerization 3 ขั้นตอนหลัก ๆ
เริ่มต้น - รับตัวเร่งปฏิกริยา (แสงUV) ปล่อยอนุมูลอิสระ
แพร่กระจาย - เชื่อมต่อกันเป็นสายยาว (Condensation polymer) สูญเสียน้ำ
สิ้นสุด - เชื่อมต่อสมบูรณ์ ไม่มีอะไรอีก เป็นของแข็ง
☘️ Condensation polymer
โมเลกุลขนาดเล็ก อย่างน้ำก็จะสูญหายไป
เมื่อการเชื่อมต่อสมบูรณ์
☘️กลไกการทำงานของสีเจลออแกนิค
ที่ใช้ยางต้นสนเป็นส่วนประกอบหลัก
ยางสน = เรซิน = เป็น Polymer ไวต่อแสง ∣ เมื่อสัมผัสคลื่น UV
จะเกิดปฏิกริยา Polymerization ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน
1. เริ่มต้น - ปล่อยอนุมูลอิสระ เปลี่ยนโครงสร้างจับจับคู่
2. เชื่อมต่อกันเป็นสายยาว และ ควบแน่นจนโมเลกุลฃ
ขนาดเล็กอย่างน้ำถูกกำจัดออก
3. สิ้นสุด เชื่อมต่อสมูรณ์ เปลี่ยนสภาพเป็นของแข็ง
.
.
สีทาเล็บเจล กลไกหลัก ๆ มีแค่นี้ แต่ปัญหาคือ
"Polymer" (สารตั้งต้นของสีเจล) นั้นมีหลายชนิด หลายเกรด ทั้งจากธรรมชาติ ( เรซินยางสนเป็นมิตรกับชีวภาพ)
และการสังเคราะห์ขึ้นเอง ซึ่งถูกกว่า
เพราะไม่มีมีขึ้นตอนการปลูก
เก็บเกี่ยว จัดเก็บ ดูแลเหมือนที่ได้จากธรรมชาติ
และสารสังเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เหมาะกับ
โครงสร้างชีวภาพของมนุษย์
สารฟอมาดีไฮล์สังเคราะห์ (ราคาถูก-ฟรี)
ที่ถูกนำมาใช้แทนเรซินธรรมชาติ (ยางสน)
แม้การทำงานจะคล้ายคลึงกันแต่
การเชื่อมต่อเชิงโครงสร้างที่ไม่สมบูรณ์เท่า
( การยึดเกาะต่ำ ) ไม่คุณสมบัติควบคุมเชื้อรา และ จุลชีพ
.
.
ปนเปื้อนง่าย แตกตัวง่าย (ยึดเกาะต่ำ) ระเหยง่าย
(ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายมากตาม)
เมื่อคุณภาพพื้นฐานไม่ได้
ก็จำเป็นต้องเติมเพิ่มสารเคมีอื่น ๆ
(ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ กาวเคมี กาวน้ำ สารฆ่าเชื้อรา ที่ราคาถูก
และแน่นอนว่าจะมีพิษหรือ ไม่ได้เหมาะกับผิวของคน)
เข้าไปอีกซึ่งก็มีผล
มีพิษต่อร่างกายมากขึ้นไปอีก
ซึ่งนำไปสู่การใช้น้ำยาล้างที่มีความเข้มข้น รุนแรงสูง
มากขึ้นไปอีก เพราะอะสิโตนปรกติ (สารละลายอินทรีย์ตามธรรมชาติ)
ไม่สามารถทำให้โครงสร้างของเจลที่มีความเป็นสารสังเคราะห์
สูงเหล่านี้ได้
ทำให้ต้องห่อนานขึ้น หลายรอบ หรือ ไม่ก็ต้องใช้น้ำยา
ที่รุนแรงเพื่อทำลายโครงวสร้าง ผลคือ ผิวเรา
ก็พังแตกรุนแรงมากขึ้น พิษก็เข้าสู่เลือดมากขึ้น
.
.
บางส่วนก็เลือกที่จะใช้การเจียทิ้ง
เพื่อเลี่ยงปัญหาของสารพิษ (จากตัวเจลเคมี และ น้ำยาล้าง )
ก็จะหนีไปพบปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ
เราไม่สามารถหาค่า มาตราฐานที่พอดีได้
ว่าเจียระดับไหน คือจะดี และ แต่ละคนก็มีความหนักเบา
ความชำนาญไม่เท่ากัน
ต่างจาก การล้างปรกติ ซึ่งควบคุมค่ากลางที่มั่นคง
ได้โดยตัวอุปกรณ์เอง (คือ ไม้ส้ม / ที่ขูด และ ซองลบ )
.
.
ผลคือ เมื่อมีการกินหน้าเล็บมากขึ้น บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ
ก็มีผลทำให้เล็บน้ำบางลงเรื่อย ๆ ( สะสมที่ละน้อยไปเรื่อย )
จนถึงจุดที่ไม่มีหน้าเล็บ เล็บบาง
จนมาถึงจุดที่ เล็บแอ่น และ การยากขึ้นเรื่อย ๆ
จนมาถึงจุดที่ต้องตะไบหนักขึ้น เรื่อย ๆ เพื่อเพิ่มการเกาะ
สุดท้าย เล็บก็เสียโครงสร้างในตัวมันเอง
กุด แอ่น เบี้ยว ผิดรูป ไว้ยาวไม่ได้ ( ยิ่งทาไม่ได้ เกาะหุ้มปลายไม่ได้
ผิดรูปมาก ก็เกาะไม่ทน
( พังทาไม่ได้อยุ่ดี )
.
.
ยังไม่รวม เรื่องของเชื้อรา การติดเชื้อ การอักเสบ อื่น ๆ
ที่จะเกิดภายใต้เล็บ และ กระบวนการดังกล่าวอีกมหาศาล
.
.
สีเจล เครื่องอบ การทา ซองลบ หรือ ใด ๆ
ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหา
.
แต่ปัญหามาจากการลดต้นทุนการผลิต
การแข่งขันด้านราคา
.
การใช้สิ่งเทียบ ของเทียม
ที่มีพิษสูง คุณภาพต่ำ เพื่อทดแทน
.
.
ประมาณนี้ครับ 🙂