ทำไมต้องมี อะสิโตน สูตรที่แรงกว่าปรกติ ?
เพราะสีที่ใช้ฟอมาดีไฮเป็นส่วนประกอบต้องใส่กาวน้ำ-พลาสติก
ผสมเข้าไปเพื่อเสริมการยึดเกาะ
( ตัวมันเองโครงสร้างยึดเกาะไม่ดีเท่าเรซิน ยางสน )
.
.
ทำให้ "อะสิโตนสำหรับล้าง" (ละลายโครงสร้างสารอิทรีย์)
ซึ่งคือยางสน (เรซิน) ( ซึ่งคือสารอินทรีย์ที่มาจากธรรมชาติ )
แยกตัวออกไม่ได้ มันจึงใช้ที่แรงกว่าปรกติ (ผสมกรด)
.
.
ผลคือ ผิวเรา "ซึ่ง" คือสารอินทรีย์อย่างหนึ่งเสียหายไปด้วย
สารเคมีที่ละลายออกจากสีเคมีมีพิษ ก็ละลายซึมเข้าสู่ผิว
สู่ระบบเลือดไป สะสม
.
จนสุดท้ายก็เลยเกิดปัญหาตามมาเป็นลูกโซ่
ตั้งแต่คุณภาพเล็บ คุณภาพผิว จนถึงระบบเลือด
ที่เราเรียกติดปากว่า "แพ้สีเจล" "แพ้สารเคมี"
.
.
อะสิโตนเพียว ๆ มันไม่สามารถทำลายผิวคนได้เท่าไหร่
แม้ผิวเราจะเป็น "สารอินทรีย์" เหมือนกัน
.
.
ที่บอกว่าไม่เท่าไหร่ เพราะ ผิวเรานั้นเป็นอินทรีย์ที่มีชีวิต
มีการซ่อมตัว ผลัดเซล อยู่ตลอดทุกมิลลิวินาที
.
.
เมื่อโดนการทำละลายของอะสิโตน มันก็ซ่อมไปพร้อมกัน ๆ
.
แต่ถึงอย่างงั้น "ในคู่มือ" ที่ผมเขียนให้
ก็แจ้งว่า ควรล้างมือ ทันที หลังล้างสีเสร็จ
" เพราะ "
ผิวและการพื้นตัวของแต่ละคนไม่เท่ากัน
บางคน ผิวมีปัญหาจากสีเคมีมาแล้ว
สุขภาพไม่ดีอยู่แล้ว (ระบบเลือดไม่ดี อายุมาก
การซ่อมบำรุงมีปัญหาช้ากว่าปรกติ)
.
.
( ซึ่งในคู่มือ บำบัดพิษเคมีสะสม
ผมจึงเขียนไว้ว่า ควรพักให้เล็บ ผิว กลับมาปรกติ
และ หยุดยากดภูมิก่อน ถ้ายังใช้อยู่ )
.
.
.
สรุป
.
ปัญหาไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง
มันมาจาก องค์รวม
.
สีต้องดี ที่ล้างต้องดี เครื่องต้องดี
ไปพร้อม ๆ กัน
ผมลัพย์ที่ออกมา มันถึงจะดี
.
.
มันเหมือนการดูแลสุขภาพ
ไม่ใช่แค่กินดี นอนดี ออกกำลังถึง
อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วจะสุขภาพจะดี
.
.
มันต้องทำทุกอย่างไปพร้อม ๆ กัน
ถึงจะดี
.
.
เรื่องก็ประมาณนี้ครับ